เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราจะปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ให้พูดเรื่องธรรม! ให้พูดเรื่องธรรม! อย่าพูดเรื่องโลก แล้วโลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน กายกับใจมันอยู่ด้วยกัน แล้วเราแบ่งว่าตรงไหนเป็นโลก ตรงไหนเป็นธรรมล่ะ
เวลาเป็นโลก เห็นไหม เป็นโลกคือเรื่องของโลก เรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาเรื่องของธรรมก็ความอยากได้ เป็นกิเลสไหม ความอยากได้ อยากประพฤติปฏิบัติเป็นกิเลสไหม แต่ความอยากอย่างนี้ระหว่างโลกกับธรรม.. เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเราไปโรงพยาบาลนี่ไปหาหมอ ถ้าเราไปหาหมอนี่เป็นธรรม แต่ถ้าเราอยากหาย อยากให้สมความปรารถนานี่เป็นโลก เพราะมันไม่ได้รักษา มันไม่เป็นตามความเป็นจริง
นี่ไงคนเกิดมา เห็นไหม เวลาเราเกิดมา แม้แต่ประกอบสัมมาอาชีวะก็เป็นเรื่องทุกข์ยากพอสมควรแล้ว แล้วเวลาเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมล่ะ.. เวลาเราปฏิบัติธรรมนี่มันเกิดจากอำนาจวาสนาของเรานะ เวลาทุกข์เวลายากนี่ชาติปิ ทุกขา ชาติการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เวลากาลามสูตรก็เหมือนกันว่าไม่ต้องเชื่อสิ่งใดเลย ไม่ให้เชื่อสิ่งใดเลย ถ้าไม่ให้เชื่อแล้วจะมีครูบาอาจารย์อย่างไรล่ะ
ความเชื่อความศรัทธาของเรา เห็นไหม แล้วความเชื่อความศรัทธาของเด็ก เด็กมันมีความมุ่งมั่นมากนะ เด็กดูสิมันบอกเลย แม่ทำผิดอย่างนั้น แม่ทำผิดอย่างนั้น เด็กมันมีความไร้เดียงสา มีความสะอาดบริสุทธิ์ของมัน แต่เวลามันโตขึ้นมา อยู่กับโลกเขามันมีมารยาทสังคม มีต่างๆ เวลาโตขึ้นมานี่เราจะพูดอย่างเด็กไม่ได้
เด็กมันไร้เดียงสา แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสะอาดบริสุทธิ์ไม่ไร้เดียงสานะ
อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า
พระอริยเจ้านี่รู้ขบวนการของความรู้สึก ความคิดของเราทั้งหมดเลย ถ้าเราไม่รู้ขบวนการความคิดของเราทั้งหมด เราจะสิ้นสุดของความลังเลสงสัยได้อย่างไร ถ้าสิ้นสุดความลังเลสงสัย ขบวนการของความคิดมันเกิดบนอะไร ขบวนการของความคิดมันเกิดบนจิต
จิตมันคืออะไร ปฏิสนธิจิตที่พาเกิดพาตายอยู่นี้ นี่ปฏิสนธิจิตมันคืออะไร ปฏิสนธิจิตคือภพ คือตัวรับรู้ คือตัวรับสภาวะกรรมดีและกรรมชั่ว! ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี่มันไปสะสมลงที่จิตนี้หมดเลย แล้วจิตนี้มีแรงขับไปตามอำนาจวาสนาของมันในวัฏฏะเห็นไหม แล้วขบวนการของมันเวลาเกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันมีขบวนการของมัน ปัจจุบันธรรมนี่เรามาแก้ไขกันตรงนี้ เรามาแก้ที่ปัจจุบัน
สิ่งที่เราเกิดมานี้มันเกิดมาจากแรงขับ สิ่งที่เป็นคุณงามความดีนะเราถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ถ้าแรงขับสิ่งที่เป็นบาปอกุศล มันก็เกิดในนรกอเวจี แรงขับที่เป็นบุญกุศล บุญกุศลมากขึ้นไปมันก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม.. นี่แรงขับ!
แรงขับคือบุญ คือกรรมไง บุญกรรมนี่มันเป็นพันธุกรรมทางจิต แต่จิตโดยสามัญสำนึก จิตโดยธรรมชาติของมัน มันมีธาตุรู้ มันเป็นธาตุที่มีชีวิต มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม นี่ขบวนการของเรา ถ้าเรามาประพฤติปฏิบัติ จะบอกว่าการประพฤติปฏิบัติ.. ทำงานนี่มันยากกว่าโลกมากนัก เวลาทางโลกนี่มันเป็นไปตามอำนาจวาสนาของคน
คนประสบความสำเร็จทางชีวิต เห็นไหม แต่คนที่ประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ เขาก็มีความทุกข์ของเขา เขาก็มีความอาลัยอาวรณ์ของเขา แต่เวลาถ้าเรามีธรรมะในหัวใจของเราล่ะ ในปัจจุบันธรรมขบวนการของความรู้สึก ขบวนการของความคิด ขบวนการของมันที่เกิดขึ้นมา เราจะเข้าไปจับต้องมันแล้วทำความสะอาดมัน
ตัวมันเองจริงๆ มันไม่ได้โทษหรอก ตัวมันจริงๆ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เวลาพระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้ว ภาราหะเว ปัญจักขันธา ความคิดความอ่านทั้งหมดมันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ มันไม่มีตัณหาความทะยานอยากขับไสไง มันไม่มีแรงบวกแรงลบไง การให้ค่าลบค่าบวกของมันไง แต่ตัณหาความทะยานอยากมันให้ค่าบวกค่าลบของมัน เห็นไหม แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ สิ่งนี้มันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริงอันหนึ่ง มันเป็นผลของวัฏฏะ
วัฏฏะมันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน เราเป็นผลของวัฏฏะนี่เราเกิดด้วยแรงบุญแรงกรรมของเรา ถ้าแรงบุญกรรมของเรา เรามาประพฤติปฏิบัติของมัน เห็นไหม ทำความสะอาดมัน ความสะอาดมันสะอาดได้อย่างไรล่ะ นี่ถ้าเราจับต้องไม่ได้ เรารื้อค้นสิ่งนี้ไม่ได้ เราจะเอาอะไรไปทำความสะอาด
เราจะทำความสะอาดสิ่งใด เราต้องมีสิ่งนั้นมาทำความสะอาดใช่ไหม เราจะทำความสะอาดจิตของเรานี่ จิตมันอยู่ที่ไหน ความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน ตัวเกิดตัวตายอยู่ที่ไหน เราเกิดมามีร่างกายกับจิตใจแล้ว แล้วจิตใจเป็นอะไรก็ไม่รู้ ร่างกายพอรู้ได้ พอจับต้องได้ แล้วจิตใจมันอยู่ไหนล่ะ เวลามันเจ็บแสบปวดร้อนมันก็ว่าเป็นเราๆ ไปหมดแหละ
สิ่งที่เป็นเรา เห็นไหม นี่การประพฤติปฏิบัติธรรม โลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นโลกนะมันก็เป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม ดูสิ เวลาเป็นรูปธรรม เป็นรูปแบบ นี่โลกทั้งนั้นแหละ การสร้างภาพกันนี่เป็นเรื่องของโลก
โลกคือโลกอะไร โลกคือโลกทัศน์ โลกคือความคิดไง โลกทัศน์นี่มันเกิดบนอะไร มันเกิดบนจิตใช่ไหม ความคิดมันเกิดบนอะไร นี่เรื่องโลกทั้งหมดเลย แต่ถ้ามันสงบเข้ามาล่ะ
นี่ทำความสงบของใจต้องมีความเข้มแข็ง ต้องมีความอดทน เพราะความเข้มแข็ง ความอดทนมันเป็นความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะมันเป็นมรรคอันหนึ่ง แต่ถ้าบอกว่าเราจะทำตามแต่ความพอใจของเรา พอใจของเราก็พอใจกิเลสไง
ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย การฝืนความรู้สึกของเราคือการฝืนกิเลส แต่ถ้าไปตามความรู้สึกของเรา ไปตามความพอใจของเรา มันทำตามความพอใจของกิเลสไง แต่ถ้าเราขืนมัน เราฝืนมัน มันก็จะทำไม่ได้แล้ว เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำให้ตนทรมานลำบากเปล่า.. มันจะทรมาน
เวลาพระสมัยพุทธกาลไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสิ้นกิเลสแล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามประจำว่า
ใครเป็นคนทรมานมา ใครเป็นคนทรมานมา
ครูบาอาจารย์ทรมานมา
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะ นี่เดินจงกรมอยู่ พระยสะมีปราสาท ๓ หลังแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วบริหารจัดการมันเครียดมาก มันมีความทุกข์มาก ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ จนออกจากปราสาท ๓ หลังไปเลยนะ เดินเข้าไปในป่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ ยสะมานี่ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่เดือดร้อน
ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ แม้แต่บริหารจัดการมันก็วุ่นวาย เรื่องของโลกๆ มันเป็นความวุ่นวาย เห็นไหม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่มันวุ่นวายไหมล่ะ
ยสะมานี่ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่มีความสงบสงัด
คำว่าวุ่นวายหนอ เดือดร้อนหนอเพราะอะไร เพราะเขาสร้างบุญญาธิการของเขามา พระยสะเวลาฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการทีแรก เวลาพูดเทศนาว่าการที่ว่าความเดือดร้อน ที่ความทุกข์นี่เป็นพระโสดาบันเลย พ่อแม่มีลูกคนเดียว เห็นไหม ตามหาๆ ตามหาไป พระพุทธเจ้าบังไว้ก่อน แล้วเทศน์สอนพ่อแม่ พระยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย
พระอรหันต์นะในอดีตกาล พอเพื่อนอีก ๕๔ คนได้ยินข่าวมาถามพระยสะ บวชเพราะอะไร ทำอะไร เพราะฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์เหมือนกันหมดเลย สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เพราะพระเขาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
ทำไมถึงเป็นเหตุนั้น ทำไมฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจได้ง่าย
นี่เพราะบุญกุศลของเขา เขาสร้างของเขานะ ยสะเป็นหัวหน้าพาหมู่คณะเก็บศพไร้ญาติถ้าที่ไหนมีศพ นี่การทำบุญกุศล..
ในชาวพุทธศาสนา ประเพณีวัฒนธรรมมันก็มาจากพระไตรปิฎก มาจากการกระทำ เห็นไหม เวลาพระสมัยพุทธกาลทำสิ่งใด แล้วมีอำนาจวาสนาสิ่งใด เราก็ทำอย่างนั้น ทำตามนั้น เป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่ประเพณีวัฒนธรรมของเรานี่ทำแบบโลกๆ คือทำเพื่อโลก แต่สมัยนั้นเขาทำของเขาด้วยจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ บุญกุศลมันมากกว่า นี่เราทำเลียนแบบกัน ทำตามๆ กันไป เราไม่ได้ทำจากหัวใจ.. เจตนาอันบริสุทธิ์ ให้ผลเป็นค่าอันบริสุทธิ์
ย้อนกลับมาที่ในการประพฤติปฏิบัติ เราเจตนาของเราเพื่อมรรคผล เรื่องของมรรคนี่เราไม่เข้าใจ เราไม่เห็นของเรา เราตั้งใจของเราแล้วเราทำของเราไป ทำของเราไปนะ.. อำนาจวาสนาของคน เดินก้าวแรก ถ้าก้าวไปเรื่อยๆ ก้าวไปเรื่อยๆ ระยะทางเราต้องก้าวเดินผ่านไปๆ แต่การก้าวเดินนั้นมันต้องผ่านสิ่งใดบ้างล่ะ
อุปสรรคของแต่ละคนไม่เหมือนกัน! อุปสรรคของแต่ละบุคคล เห็นไหม นี่อำนาจวาสนา การชอบ การไม่ชอบต่างๆ หลากหลายกันไป.. เราเกิดมาอยู่ในโลก ครูบาอาจารย์ท่านบอก เราเกิดมาอยู่ในโลก เราต้องอาศัยโลกไป แต่ถึงที่สุดแล้วเราเกิดมาในโลกเราจะออกจากโลกได้ แต่ถ้าเราเกิดมาในโลกแล้วว่าสิ่งนี้เป็นวิทยาศาสตร์
โลกคือวิทยาศาสตร์ ธรรมะเหนือโลกเหนือวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์เป็นสูตรทฤษฏีที่ตามความเป็นจริง แต่ธรรมะเข้าใจทฤษฏีตามวิทยาศาสตร์นั้น แล้ว! แล้ววางไว้ตามความเป็นจริง! ถ้าไม่วางไว้เรายึดว่าเรารู้เราเห็น ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว !
ข้ามพ้นทั้งความชั่ว ความพอใจของตัณหาความทะยานอยาก ข้ามพ้นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นความดี.. ความดีก็ยึดมั่นถือมั่น เห็นไหม เราต้องปล่อยวางไว้ให้เป็นอิสระ ความเป็นอิสระนะ ถ้าเราไม่มีความดี เราไม่มีความเข้าใจเราจะปล่อยได้อย่างไร
รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง
รสของคุณงามความดีมันต้องชนะรสของบาปอกุศลที่มันกดถ่วง สิ่งที่เป็นคุณงามความดีของเรา นี่เราทำของเราเราต้องวาง ถ้าไม่วางนะแล้วยึดไว้ๆ มาเรือมาแพต้องวางเรือแพไว้ที่ท่า แล้วเราขึ้นบกให้ได้ จิตของเราก็เหมือนกัน พอเรารู้เราเห็นสิ่งใดแล้ววางไว้ เราก็กลัวเราจะไม่รู้ กลัวเราจะไม่เห็น
กลัวจะไม่รู้ กลัวจะไม่เห็นมันเป็นข้อมูลทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้ามันรู้ในปัจจุบัน มันเป็นปัจจุบัน มรรคสามัคคีมันรวมทั้งปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญารวมกันทั้งหมดในตัวของมันเองแล้วชำระล้าง นี่ชำระสิ่งที่ขบวนการความรู้สึก ขบวนการความคิด ทำความสะอาดมันบ่อยครั้งเข้าๆ ถึงที่สุดเวลามันขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม
แล้วพอขาดเข้าไปแล้วนี่พระอรหันต์กับปุถุชนเหมือนกันโดยสิ่งที่มีชีวิตอยู่นะ แต่ต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะปุถุชนเรานะเรายึดมั่นความคิดของเรา ความคิดความเห็นต่างๆ มันมีตัณหาความทะยานอยากให้ยึดโดยธรรมชาติของมัน นี่เจ็บปวดแสบร้อน สิ่งใดที่ไม่ถูกใจที่ไม่ต้องใจ สิ่งที่ผลักไสนี่มันเจ็บนัก เจ็บนัก เห็นไหม ความเจ็บนี่ขันธมาร!
แต่เวลาขบวนการของมันได้ทำความสะอาดของมันสิ้นสุดแล้วนี่ ขันธ์เหมือนกัน ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นี่มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เหมือนกัน แต่เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ที่สะอาดบริสุทธิ์ เพราะขบวนการของความคิด ขบวนการของตัณหาความทะยานอยากมันได้ทำการกลั่นกรองกัน มันได้ทำขบวนการของมัน มันสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม ความคิดถึงไม่ทำลายใครไง
ความคิดต่างๆ มันไม่เคยทำลายใครหรอก แต่เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยากบวกกับความคิดเข้าไป ตัณหาความทะยานอยากอันนี้มันทำลายเรา ตัณหาความทะยานอยากอาศัยความคิด อาศัยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ออกไปหาเหยื่อ ออกไปหาทุกข์หาร้อนมาเหยียบย่ำหัวใจของเรา มันโง่ไง! มันโง่ มันไปหาสิ่งนั้นมาเหยียบย่ำหัวใจ เพราะมันยึดมั่นถือมั่นเข้ามา
นี่ไง ถือว่ารู้ ถือว่าเก่ง ถือว่าฉลาด ไอ้พวกฉลาดๆ นี่โง่ โง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ โง่กับตัวเอง นี่ทำลายจิตของตัวเองเพราะเอาความฉลาดนั้นปิดกั้นขบวนการตามความเป็นจริงของมัน เอาความรู้ของเรา เอาขบวนการวิทยาศาสตร์นี่มาปิดกั้นตามความเป็นจริงของมัน
นี่ธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ ใช่! เป็นวิทยาศาสตร์ต่อเมื่อเทคโนโลยีที่เราเข้าไปพิสูจน์กับมัน แต่จิตนี้มันเหนือวิทยาศาสตร์ เหนือต่างๆ มันถึงวางวิทยาศาสตร์นั้นได้ เพราะเรารู้วิทยาศาสตร์ใช่ไหม เรายึดมั่นของเราใช่ไหม เราไม่วางสิ่งใดเลย แต่ถ้าขบวนการของมันถึงที่สุดแล้ว ขบวนการความคิดที่มันทำความสะอาดแล้ว แล้วมันวางไว้ตามความเป็นจริง แล้วจิตมันหลุดพ้นออกไป
มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นิพพานคือความรู้สึกอันนั้น ธรรมธาตุอันนั้นมันพ้นจากสิ่งนี้ไป เห็นไหม พอพ้นไปแล้วนี่ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดนะมันปลงธรรมสังเวชนะ น้ำตาชำระภพชาติ มันโศกสลดในหัวใจนะ ของมีอยู่กับเรา เหมือนกับเรามีของอยู่กับมือเลย แล้วเราไม่รู้จักของในมือกับเรานี่มีคุณค่าขนาดไหน
จิตของเราเอง ความรู้สึกของเราเอง ทุกข์ยากของเราเอง แต่แก้ไขไม่ได้ ไปหาครูบาอาจารย์ก็จะให้ครูบาอาจารย์ปลดให้ๆๆ ครูบาอาจารย์ก็มาชี้นำไปหาหมอนะ ถ้าคนไข้ไม่ร่วมขบวนการกับหมอในการรักษา แล้วมันจะหายได้ง่ายไหม เราไปหาหมอนะก็ร่วมขบวนการกับหมอ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ท่านก็บอกชี้แนวทางกับเรา เราต้องประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องร่วมมือกันระหว่างคนไข้กับหมอ แล้วโรคภัยไข้เจ็บนั้นจะรักษาได้ง่ายขึ้น
นี่ก็เหมือนกัน เราไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แนะนำแล้ว เราพยายามวางไว้ให้มันเป็นปัจจุบัน ให้มันเป็นความเป็นจริงของเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราเข้าไป ผลมันเกิดขึ้นมามากน้อยมันก็อยู่ที่ว่า นี่คนประหยัดมัธยัสถ์ทำหน้าที่การงานได้ผลประโยชน์มาเท่ากัน คนประหยัดมัธยัสถ์เขาจะเก็บหอมรอมริบของเขาเพื่อประโยชน์ของเขาไปข้างหน้า คนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย นี่เขาได้มาเท่ากันใช้จ่ายหมดเลย เห็นไหม เขาไม่มีของเก็บไว้เป็นสมบัติไปข้างหน้า อนาคตของเขา เขาจะทุกข์ยากของเขา
นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมานี่เราเก็บหอมรอมริบ เราประหยัดมัธยัสถ์ของเรา เราดูแลรักษาของเรา มันจะเป็นผลประโยชน์ของเรา เห็นไหม เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา
นี่โลกกับธรรม.. ธรรมเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน! ธรรมเป็นโลกๆ ก็เป็นเรื่องโลก ถ้าธรรมเป็นธรรมมันเก็บประสบการณ์ไว้กับจิต เก็บประสบการณ์ไว้กับเรา เพื่อประโยชน์กับเรา
นี่เป็นธรรม! เป็นธรรมคือปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ.. การปฏิบัติประสบการณ์ของเรา อย่างเช่นเราผ่านประสบการณ์สิ่งใดมา ชีวิตของเรานี่เราผ่านมา เรารู้เห็นของเรามา คนที่ไม่ได้ผ่านมา เราไปเล่าให้เขาฟังเขาก็นั่งฟังนะ ไม่ซึ้งเหมือนเราที่เรามีประสบการณ์มาหรอก
นี่ประสบการณ์ของจิต จิตที่มันมีประสบการณ์มานี่ ประหยัดมัธยัสถ์ของเรา แล้วเก็บหอมรอมริบของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ ในการที่เราสนใจเรื่องศาสนานี้ก็เป็นอำนาจวาสนาแล้ว ถ้าไม่สนใจในอำนาจวาสนามันก็ใช้ชีวิตแบบโลกๆ นี่ได้สมบัติมา ได้อริยทรัพย์มา ได้มนุษย์สมบัติมา ได้เกิดมาพุทธศาสนา แล้วไม่ทำเพื่อประโยชน์กับตน
เรื่องของคฤหัสถ์เราก็ทำทาน ศีล ภาวนา มีทานเราก็ให้ทาน ถือศีลให้ปกติ รักษาใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้ายังเกิดอีกก็เกิดในสิ่งที่ดี เกิดอีกเกิดในพุทธศาสนา ปฏิบัติถึงที่สุดให้พ้นออกไปได้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเวียนตายเวียนเกิด
ผลของวัฏฏะ.. การเกิดและการตายเป็นผลของวัฏฏะ! หมุนไปตามธรรมชาติของมัน เหมือนสวะ เหมือนเศษฝุ่นหมุนไปในอากาศ การเกิดการตายก็เวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เราจะเอาอย่างนั้นหรือ เราจะเอาสติปัญญาของเรายับยั้งของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา
เราสร้างประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่โลกกับธรรม.. ถ้าเป็นโลกนะ เขาชักนำเราไปก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นธรรมนะเราต้องฝืนของเรา เราหาประสบการณ์ของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง